การปลูกผมด้วยเทคนิค FUE (Follicular Unit Extraction) และ DHI (Direct Hair Implantation) เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมในการปลูกผม แต่ละเทคนิคมีวิธีการและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้:
1. FUE (Follicular Unit Extraction)
- วิธีการ:
ในเทคนิค FUE จะใช้เครื่องมือพิเศษในการเก็บกราฟผม (Follicular Unit) จากบริเวณที่มีผมหนา (เช่น ด้านหลังศีรษะ) โดยไม่ต้องตัดหนังศีรษะออกมา หลังจากนั้นกราฟผมเหล่านั้นจะถูกปลูกในบริเวณที่ผมบางหรือร่วง วิธีนี้ไม่ทิ้งแผลเป็นใหญ่และฟื้นตัวได้เร็ว - ข้อดี:
- ไม่มีแผลเป็นยาวแบบการตัดแถบหนังศีรษะ (เหมือนในเทคนิค FUT)
- ฟื้นตัวเร็วและเจ็บน้อย
- ไม่มีแผลเป็นที่เห็นชัดเจน
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมในพื้นที่เล็ก ๆ หรือจุดที่ต้องการการปรับแต่ง
- ข้อเสีย:
- อาจต้องใช้เวลาในการเก็บกราฟผมหลายรอบ
- ต้องใช้แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงในการเก็บกราฟผมเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียกราฟผม
2. DHI (Direct Hair Implantation)
- วิธีการ:
การปลูกผมด้วยเทคนิค DHI ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Choi Implanter Pen ซึ่งสามารถใส่กราฟผมลงไปในช่องที่ต้องการปลูกได้โดยตรงโดยไม่ต้องใช้การเปิดรอยแผลหรือการเจาะด้วยเข็มในขณะที่ปลูก วิธีนี้จะช่วยให้การปลูกผมมีความแม่นยำและเป็นธรรมชาติมากขึ้น - ข้อดี:
- ไม่ต้องเปิดแผลขนาดใหญ่ สามารถปลูกผมได้ในหนึ่งขั้นตอน
- การควบคุมการวางกราฟผมทำได้แม่นยำ ทำให้ผมที่ปลูกมีลักษณะธรรมชาติ
- ฟื้นตัวเร็วมากและมีแผลน้อย
- ลดโอกาสในการเสียกราฟผมเพราะไม่ต้องมีการเจาะรูมาก
- ข้อเสีย:
- ต้องการทักษะและเทคนิคที่สูงจากแพทย์หรือทีมแพทย์ที่ทำการปลูกผม
- ราคาค่อนข้างสูงกว่าการใช้เทคนิค FUE
- เวลาในการปลูกผมอาจนานกว่าเนื่องจากการปลูกแต่ละกราฟจะละเอียดมากขึ้น
การเลือกเทคนิคที่เหมาะสม:
- FUE อาจจะเหมาะสมกว่าในกรณีที่คุณต้องการผลลัพธ์ที่ดี แต่ไม่ต้องการให้เวลาการฟื้นตัวนาน หรือมีพื้นที่ปลูกผมที่ค่อนข้างใหญ่
- DHI อาจจะเหมาะสมกว่าในกรณีที่คุณต้องการความแม่นยำสูงในตำแหน่งการปลูกผมและต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
ในทั้งสองกรณี ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะและความต้องการของคุณค่ะ